วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

วีดีโอแห่งความสุข


วีดีโอแห่งความสุข Mac vs PC
ที่คนใช้ Mac จะต้องไม่ลืม
โดยเนื้อเรื่องค่อนข้างกวนส้น
ซึ่งออกแนวหนังเรื่อง Transformors
กํากับโดย
Dan Chainelli และ Nick Greenlee
ขอให้ดูให้สนุกเน้อ
v
v
v
คลิกที่นี่

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

The War has Began-OS Market Share


ภาพรวมของส่วนแบ่งการตลาดของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ (Operating System Market Share) สำหรับใช้งานทั่วไปนั้น นับได้ว่าเป็นการผูกขาดโดยระบบปฏิบัติการ Windows ของยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์มาเป็นเวลายาวนาน และในครึ่งแรกของปี 2552 ระบบปฏิบัติการ Windows ก็คงครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด

อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งการตลาดของระบบปฏิบัติการ Windows มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากเสียส่วนแบ่งบางส่วนให้กับคู่แข่งอย่าง Mac OS ของ Apple และ Linux ซึ่งทั้ง 2 ตัว ได้รับความนิยมกันมากขึ้น แต่ก็มีการคาดกันว่าหลังจาก Windows 7 ออกวางจำหน่าย น่าจะทำให้ส่วนแบ่งการตลาดองระบบปฏิบัติการ Windows เพิ่มขึ้นได้พอสมควร

ส่วนแบ่งการตลาดของระบบปฏิบัติการในระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 2552
บทความนี้เป็นการรวบรวมข้อมูลส่วนแบ่งการตลาดของระบบปฏิบัติการจากเว็บไซต์ Market Share (http://marketshare.hitslink.com/default.aspx) ในระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 2552 โดยแบ่งเป็น 2 หัวข้อ คือ ส่วนแบ่งการตลาดของระบบปฏิบัติการ และ ส่วนแบ่งการตลาดตามเวอร์ชันของระบบปฏิบัติการ

ส่วนแบ่งการตลาดของระบบปฏิบัติการ
ส่วนแบ่งการตลาดโดยรวมของระบบปฏิบัติการ 5 อันดับแรก มีรายละเอียดดังนี้
อันดับที่ 1. Windows ของไมโครซอฟท์ยังคงครองส่วนแบ่งมากที่สุด 93.49% แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 1.68%
อันดับที่ 2. Mac มีส่วนแบ่งตลาด 4.67% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 0.98%
อันดับที่ 3. Linux นั้นมีส่วนแบ่งตลาด 1.02% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 0.24%
อันดับที่ 4. Java ME มีส่วนแบ่งการตลาด 0.24 %
อันดับที่ 5. iPhone มีส่วนแบ่งการตลาด 0.22 %

ส่วนแบ่งการตลาดตามเวอร์ชันของระบบปฏิบัติการ
สำหรับส่วนแบ่งการตลาดตามเวอร์ชันของระบบปฏิบัติการ 5 อันดับแรก มีรายละเอียดดังนี้
อันดับที่ 1. Windows XP ยังคงมีส่วนแบ่งการตลาดลดลงมากที่สุดที่ 74.73% แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 6.85%
อันดับที่ 2. Windows Vista มีส่วนแบ่งการตลาด 16.67% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 7.37%
อันดับที่ 3. Mac OS X 10.5 ของ Apple มีส่วนแบ่งการตลาด 2.95%
อันดับที่ 4. Windows 2000 มีส่วนแบ่งการตลาด1.24% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 1.35%
อันดับที่ 5. MAC OS X 10.5 ของ Apple มีส่วนแบ่งการตลาด 1.13%

ในขณะที่ระบบ Linux มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่ 6 ที่ 1.02 % สำหรับ Windows 7 นั้นในเดือนสิงหาคม 2552 มีส่วนแบ่งการตลาดที่เกิน 1% เป็นครั้งแรก โดยอยู่ที่ 1.18 %

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• http://www.netapplications.com

© 2009 Artnoi's Blog. All Rights Reserved.


ประวัติ Apple Inc.


แอปเปิล (Apple Inc.) หรือในชื่อเดิม แอปเปิลคอมพิวเตอร์ (Apple Computer Inc.) เป็นบริษัทในซิลิคอนวัลเลย์ ทำธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แอปเปิลปฏิวัติคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในยุค 70 ด้วยเครื่องแอปเปิลทู (Apple II) และแมคอินทอช (Macintosh) ในยุค 80 ปัจจุบันแอปเปิลมีชื่อเสียงด้านฮาร์ดแวร์ เช่น iMac iPod iPhone และ ร้านขายเพลงออนไลน์ iTune Music online Store ประวัติโดยย่อ บริษัท Apple Computer Inc. ได้เกิดขึ้นจากการร่วมกันก่อตั้งของ สตีฟ จ็อบส์ และ สตีฟ วอซเนียก ทำการปฏิวัติธุรกิจคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในยุค 70 โดยการนำเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ประดิษฐ์จากโรงรถออกมาขาย ในชื่อ Apple I ที่ราคาจำหน่าย 666.66 เหรียญ ในจำนวนและระยะเวลาจำกัด ภายในปีถัดมาก็ได้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำยอดจำหน่ายสูงสุดให้กับบริษัท ณ ขณะนั้นคือ Apple II ซึ่งเป็นการเปิดศักราชใหม่แห่งวงการไมโครคอมพิวเตอร์ และเป็นการสร้างมาตรฐานให้กับไมโครคอมพิวเตอร์ที่เกิดมาตามหลังทั้งหมด (อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาดังกล่าว ทางบริษัทจะมุ่งเน้นการขายระบบปฏิบัติการมากกว่าที่จะขายผลิตภัณฑ์ไมโครคอมพิวเตอร์ เนื่องจากประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์จากบริษัท Intel และ IBM ทำงานได้ดีกว่า) ต่อมาในยุค 80 Apple Inc. ได้พัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ส่งผลถึงยอดจำหน่ายที่สูงขึ้นตามลำดับ ภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ Macintosh ซึ่งยังส่งผลให้ Apple ยังคงมีชื่อเสียงในด้านผลิตภัณฑ์มาจนถึงปัจจุบัน ด้วยมาตรฐานและเอกลักษณ์ทางการตลาดที่สอดคล้องกับปณิธานองค์กรที่ว่า “คิดอย่างแตกต่าง (Think Different)” ผลิตภัณฑ์ที่มักได้รับการกล่าวถึงและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน อาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งที่เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดพกพา (MacBook, MacBook Pro) และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (iMac, PowerMac) ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ได้แก่
Mac OS X (แมคโอเอสเท็น) อุปกรณ์ฟังเพลงขนาดพกพา ได้แก่ สายผลิตภัณฑ์ iPod และ iPhone อุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น iSight, AirPort ฯลฯ โปรแกรมและบริการเสริมต่างๆ อาทิ iTunes เป็นต้น เกร็ดอื่นๆ ในภาพยนตร์เรื่อง อัจฉริยะปัญญานิ่ม (Forrest Gump) ฟอร์เรสต์ กัมป์ ถูกชักชวนโดยผู้หมวดแดน ให้เป็นหุ้นส่วนของบริษัทแอปเปิล แต่ตัวฟอร์เรสต์เองนึกว่าหมายถึงแอปเปิลที่เป็นผลไม้

The War has Began - Security


หลังจากสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการ Operationg System ต่างฝ่ายต่างออกมาบรรยาย
สรรพคุณสินค้าตัวเองบนเวทีใหญ่เสร็จสิ้นเป็นที่ เรียบร้อย นับจากนี้อีกไม่กี่วันก็จะถึงคราวของจริง
นั่นก็คือ การแย่งชิงตลาด OS ให้ได้ตามเป้าหมายที่ตัวเองต้องการ ดูเหมือนงานนี้ Apple ออกตัวก่อน Microsoft เล็กน้อย
เมื่อประกาศว่าจะวางจำหน่าย Snow Leopard เดือน 9 ส่วน Window7 จะวางขาย เดือน 10
และเรื่องที่ฮือฮาที่สุดเห็นจะเป็นราคารุ่น อัพเกรดของ Snow Leopard เพียง 29$ เท่านั้น !!
ศึกรอบนี้ Microsoft หนาวๆ อยู่บ้างแหละ Gizmodo เจ้าเก่าของเรา รายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้
เราเลยหยิบมาให้อ่านดูเล่นๆ ว่าฉากปะทะ ระหว่าง Snow Leopard กับ Windows 7
มีทีเด็ดอะไรกันบ้าง ขอเอาบางส่วนพอน่ะ

เชื่อว่าผู้อ่านหลายๆ ท่านคงคุ้นเคยกันดีกับโฆษณาของแอปเปิลที่บอกว่าระบบ Mac OS X ของตนนั้นมีความปลอดภัยกว่าระบบของ Windows แต่ในข่าวนี้ คุณแฮกเกอร์ออกมาบอกเองเลยครับว่า มันไม่ได้ปลอดภัยไปกว่าของคู่แข่ง โดยเฉพาะ Windows 7 ที่กำลังจะวางจำหน่ายสักเท่าไหร่หรอก

หลังจากก่อนหน้านี้มีข่าวปัญหาเรื่องความปลอดภัยของ Flash (ซึ่งได้รับการแก้ไขแล้ว) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านความปลอดภัยยังวิจารณ์จุดอ่อนอื่นๆ อีกเช่น firewall ถูกปิดเป็นค่าเริ่มต้น, ขาดระบบ Full automatic update และ ระบบการป้องกัน phishing ที่อ่อนแอของซาฟารี

นอกจากนี้นาย Charlie Miller ผู้เชี่ยวชาญในการแฮก Mac OS X (อ่านวีรกรรม) ยังวิจารณ์ถึงระบบ ASLR ที่มากับ Snow Leopard ว่ายังเป็นตัวเดียวกับใน Leopard และมันก็ยัง"ไม่ค่อยดีเท่าไหร่" ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับฟีเจอร์ ASLR ที่แข็งแกร่งกว่าของ Windows 7 แล้ว Snow Leopard นั้นจะถูกโจมตีจากเหล่าผู้ประสงค์ร้ายได้ง่ายกว่า

อย่างไรก็ตามไม่ใช่จะมาด่าอย่างเดียว นาย Miller ยังชมแอปเปิล ถึงการแก้ไข QuickTime X ให้มีความปลอดภัยขึ้น และเพิ่ม DEP (data execution prevention) แบบเดียวกับของ Windows นั่นเอง ซึ่่งนาย Miller กล่าวสรุปในแง่ระบบความปลอดภัยของ Snow Leopard ว่า

"Snow Leopard นั้นปลอดภัยกว่า Leopard แต่มันก็ยังไม่ปลอดภัยเท่ากับ Vista หรือ Windows 7 หรอก รอให้แอปเปิลแก้สิ่งที่ผมบอกมาก่อน ผมถึงจะเลิกบ่น"

ถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วทำไมแอปเปิลถึงยังโฆษณาระบบของตัวเองกว่าปลอดภัยกว่า Windows อยู่ล่ะ?

เค้าตอบว่า..

"การโจมตี Windows มันยากกว่า Mac ก็จริง แต่คุณก็ยังเห็นแต่คนโจมตี Windows นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขา(แฮกเกอร์) สามารถโจมตีคอมพิวเตอร์ได้ถึง 90% ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องการจะทำ และคงไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ที่จะต้องวุ่นเป็นสองเท่าเพื่อที่จะเก็บไอ้ 10% ที่เหลือนั่น"

ที่มา - Daily Tech

ASLR (address space layout randomization) : ฟีเจอร์ความปลอดภัยรูปแบบหนึ่งที่ระบบจะสุ่มส่งข้อมูลไปในหน่วยความจำ ทำให้การโจมตีระบบนั้นทำได้ยากขึ้น




Credit : http://www.blognone.com/node/13199

Artnoi กับ iPhoto


คุณรู้ไหมหนึ่งในโปรแกรม
ที่ผมชอบที่สุดใน Mac ก้อคือ iPhoto
ผมว่าร้อยละ 75 ของคนที่ใช้ Mac
ซื้อมาก้อเพราะไอ้โปรแกรมเนี่ยแหละ

มันไม่ใช่กระแสตลาดนะเพราะมันเจ๋งจิงๆ
เช่นทําสมุดภาพที่พิมออกมาได้จิงๆ
ทําปฏิทินภาพที่พิมออกมาได้จิง
และเมื่อคุนลองใช้แล้วทําไปหั้ยเพื่อนของคุณ
เพื่อนของคุนก้อจะบอกว่า นายทําจิงๆหรอ
เก่งมากมันเหมือนมือโปรเลยนะ ตั้งแต่ตอนนั้นแหละ
ที่คุนจะรู้สึกตัวลอยจนทําให้คุนทําอะไรเจ๋งออกมาอิก
แล้วคุนก้อจะเริ่มลํ้าเส้นออกมาจากวงการทําสมุดภาพมืออาชีพ
(นิดนึง:เกริ่นนิดนึงผมเปรียบความรู้สึกน้นเหมีอนกับ สมมติว่าคุนคือ
แฟนหนังเรื่อง Seven Days to leave my wife
หากคุนแต่งตัวเลียนแบบย้งคุนก้อยังไม่ลํ้าเส้น
แต่หากคุนเป็นแฟนกับพิมล่ะก้อนั่นแหละที่เรียกว่าลํ้าเส้น)
มาเป็นเซียน iPhoto เมื่อคุนรู้สึกตัวอิกที
คุนก้อมีคนมาเข้าแถวรอรับลายเซ็นของคุนเป็น100คนแล้ว
ถึงตอนนั้นอย่าหาว่า Artnoi ไม่เตือนล่ะ

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

Mac OS X Snow Leopard




Apple เปิดตัวระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ล่าสุด Mac OS X v10.6 Snow Leopard ที่พร้อมจำหน่ายในวันนี้ ผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการและผ่านทางร้านค้าออนไลน์ของแอปเปิ้ล โดย Snow Leopard นั้นถูกพัฒนาขึ้นบนเทคโนโลยีที่มีรากฐานที่น่าเชื่อถือนับทศวรรษอย่าง OS X และได้รับการปรับแต่งให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในหลายร้อยจุด เสริมด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด และรองรับการทำงานร่วมกับ Microsoft Exchange ได้อย่างดี โดยผู้ใช้สามารถอัพเกรดจาก Mac OS X Leopard มาเป็น Snow Leopard ได้ในราคาเพียง 1,190 บาทเท่านั้น

"Snow Leopard พัฒนาโดยต่อยอดจากระบบปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเรา และเราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถนำเสนอ Snow Leopard ให้ผู้ใช้ได้เร็วกว่ากำหนดการที่เราคาดเอาไว้" เบอร์แทรนด์ เซอร์เล็ท รองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ของแอปเปิ้ล กล่าว "ด้วยราคาในการอัพเกรดเพียง 1,190 บาท ผู้ใช้ Leopard จะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีชั้นสูงบนระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ และเป็นระบบที่รองรับการทำงานร่วมกับ Exchange ได้"

ในการพัฒนา Snow Leopard นั้น วิศวกรของแอปเปิ้ลได้ปรับปรุงส่วนต่างๆ บน Mac OS X รวมแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนโปรเจ็กต์ทั้งหมดนับพันรายการ ทำให้ผู้ใช้จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ทั้งใน Finder ที่ค้นหาได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิม โดยสามารถเปิดข้อความในเมลได้เร็วขึ้นสองเท่า* Time Machine ที่สามารถสำรองข้อมูลครั้งแรกได้เร็วขึ้นสูงสุดถึง 80 เปอร์เซ็นต์ * และให้การทำงานรูปแบบใหม่ร่วมกันระหว่าง Dock และ Expose มี QuickTime X โฉมใหม่ที่ให้ความสะดวกมากกว่าในการชม บันทึก ตัดต่อ และแชร์วิดีโอ อีกทั้งบราวเซอร์ Safari 4 เวอร์ชัน 64-บิต สามารถทำงานได้เร็วขึ้นกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ** และยังสามารถป้องกันระบบไม่ให้ได้รับผลกระทบจากปลั๊กอินที่มีปัญหา ที่สำคัญ Snow Leopard นั้นมีขนาดเพียงครึ่งเดียวของระบบปฏิบัติการเวอร์ชันก่อนหน้านี้ ช่วยประหยัดพื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ลงไปได้มากถึง 7 กิกะไบต์ในทันทีที่ติดตั้ง
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่แอพพลิเคชันระบบ ไม่ว่าจะเป็น Finder, Mail, iCal, iChat และ Safari ได้ถูกแปลงโค้ดโปรแกรมให้กลายเป็นแบบ 64-บิต และด้วยคุณสมบัติของ Snow Leopard ในการรองรับโพรเซสเซอร์แบบ 64-บิต ทำให้สามารถทำงานร่วมกับหน่วยความจำประเภทแรมที่ใหญ่ขึ้น ให้สมรรถนะที่ดีขึ้น และมีความปลอดภัยมากขึ้น ในขณะที่ยังคงรองรับแอพพลิเคชันแบบ 32-บิต ได้อย่างไม่มีปัญหา นอกจากนี้ยังมีการนำ Grand Central Dispatch (GCD) มาใช้เพื่อนำเสนอแนวทางใหม่ให้แก่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ในการเขียนแอพพลิเคชัน เพื่อดึงประโยชน์จากโพรเซสเซอร์แบบมัลติคอร์ออกมาให้ได้เต็มที่ รวมไปถึงการรองรับ OpenCL ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานเปิด ที่ทำให้นักพัฒนาโปรแกรมสามารถใช้พลังของหน่วยประมวลผลกราฟิกที่มีอยู่ได้ อย่างคุ้มค่าเพื่อรองรับการประมวลผลอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากเรื่องของกราฟิก

Snow Leopard นั้นถือเป็นระบบปฏิบัติการบนเดสก์ทอปรุ่นเดียวที่รองรับการทำงานร่วมกับ Microsoft Exchange Server 2007 และให้ความสะดวกในการใช้ Mac OS X Mail, Address Book และ iCal ในการส่งและรับอีเมล์ สร้างหรือตอบรับการเชิญประชุมผ่านระบบออนไลน์ รวมไปถึงการค้นหาและจัดการรายชื่อบนสมุดรายชื่อกลางของระบบ และด้วยความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่าง Exchange กับ Snow Leopard ทำให้ผู้ใช้ยังจะได้รับประโยชน์จากคุณสมบัติเฉพาะบน OS X ทั้งการค้นหาอย่างรวดเร็วผ่าน Spotlight และการพรีวิวผ่าน Quick Look เป็นต้น

Mac OS X Server Snow Leopard ระบบปฏิบัติระดับเซิร์ฟเวอร์ที่ง่ายต่อการใช้งาน พร้อมวางจำหน่ายเช่นเดียวกันในวันพุธที่ 2 กันยายน 2552 โดย Snow Leopard Server มาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจมากมาย อาทิ Podcast Producer 2 และ Mobile Access Server ด้วยราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมคือ 18,990 บาท โดยไม่จำกัดจำนวนไลเซนส์เครื่องลูกข่ายที่เชื่อมต่อใช้งานกับเซิร์ฟเวอร์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและความต้องการของระบบสำหรับ Snow Leopard Server สามารถเรียกดูได้จาก www.apple.com/server/macosx/ แอปเปิ้ล เปิดตัวระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ล่าสุด Mac OS X v10.6 Snow Leopard ที่พร้อมจำหน่ายในวันนี้ ผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการและผ่านทางร้านค้าออนไลน์ของแอปเปิ้ล โดย Snow Leopard นั้นถูกพัฒนาขึ้นบนเทคโนโลยีที่มีรากฐานที่น่าเชื่อถือนับทศวรรษอย่าง OS X และได้รับการปรับแต่งให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในหลายร้อยจุด เสริมด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด และรองรับการทำงานร่วมกับ Microsoft Exchange ได้อย่างดี โดยผู้ใช้สามารถอัพเกรดจาก Mac OS X Leopard มาเป็น Snow Leopard ได้ในราคาเพียง 1,190 บาทเท่านั้น

"Snow Leopard พัฒนาโดยต่อยอดจากระบบปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเรา และเราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถนำเสนอ Snow Leopard ให้ผู้ใช้ได้เร็วกว่ากำหนดการที่เราคาดเอาไว้" เบอร์แทรนด์ เซอร์เล็ท รองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ของแอปเปิ้ล กล่าว "ด้วยราคาในการอัพเกรดเพียง 1,190 บาท ผู้ใช้ Leopard จะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีชั้นสูงบนระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ และเป็นระบบที่รองรับการทำงานร่วมกับ Exchange ได้"

ในการพัฒนา Snow Leopard นั้น วิศวกรของแอปเปิ้ลได้ปรับปรุงส่วนต่างๆ บน Mac OS X รวมแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนโปรเจ็กต์ทั้งหมดนับพันรายการ ทำให้ผู้ใช้จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ทั้งใน Finder ที่ค้นหาได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิม โดยสามารถเปิดข้อความในเมลได้เร็วขึ้นสองเท่า* Time Machine ที่สามารถสำรองข้อมูลครั้งแรกได้เร็วขึ้นสูงสุดถึง 80 เปอร์เซ็นต์ * และให้การทำงานรูปแบบใหม่ร่วมกันระหว่าง Dock และ Expose มี QuickTime X โฉมใหม่ที่ให้ความสะดวกมากกว่าในการชม บันทึก ตัดต่อ และแชร์วิดีโอ อีกทั้งบราวเซอร์ Safari 4 เวอร์ชัน 64-บิต สามารถทำงานได้เร็วขึ้นกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ** และยังสามารถป้องกันระบบไม่ให้ได้รับผลกระทบจากปลั๊กอินที่มีปัญหา ที่สำคัญ Snow Leopard นั้นมีขนาดเพียงครึ่งเดียวของระบบปฏิบัติการเวอร์ชันก่อนหน้านี้ ช่วยประหยัดพื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ลงไปได้มากถึง 7 กิกะไบต์ในทันทีที่ติดตั้ง
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่แอพพลิเคชันระบบ ไม่ว่าจะเป็น Finder, Mail, iCal, iChat และ Safari ได้ถูกแปลงโค้ดโปรแกรมให้กลายเป็นแบบ 64-บิต และด้วยคุณสมบัติของ Snow Leopard ในการรองรับโพรเซสเซอร์แบบ 64-บิต ทำให้สามารถทำงานร่วมกับหน่วยความจำประเภทแรมที่ใหญ่ขึ้น ให้สมรรถนะที่ดีขึ้น และมีความปลอดภัยมากขึ้น ในขณะที่ยังคงรองรับแอพพลิเคชันแบบ 32-บิต ได้อย่างไม่มีปัญหา นอกจากนี้ยังมีการนำ Grand Central Dispatch (GCD) มาใช้เพื่อนำเสนอแนวทางใหม่ให้แก่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ในการเขียนแอพพลิเคชัน เพื่อดึงประโยชน์จากโพรเซสเซอร์แบบมัลติคอร์ออกมาให้ได้เต็มที่ รวมไปถึงการรองรับ OpenCL ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานเปิด ที่ทำให้นักพัฒนาโปรแกรมสามารถใช้พลังของหน่วยประมวลผลกราฟิกที่มีอยู่ได้ อย่างคุ้มค่าเพื่อรองรับการประมวลผลอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากเรื่องของกราฟิก

Snow Leopard นั้นถือเป็นระบบปฏิบัติการบนเดสก์ทอปรุ่นเดียวที่รองรับการทำงานร่วมกับ Microsoft Exchange Server 2007 และให้ความสะดวกในการใช้ Mac OS X Mail, Address Book และ iCal ในการส่งและรับอีเมล์ สร้างหรือตอบรับการเชิญประชุมผ่านระบบออนไลน์ รวมไปถึงการค้นหาและจัดการรายชื่อบนสมุดรายชื่อกลางของระบบ และด้วยความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่าง Exchange กับ Snow Leopard ทำให้ผู้ใช้ยังจะได้รับประโยชน์จากคุณสมบัติเฉพาะบน OS X ทั้งการค้นหาอย่างรวดเร็วผ่าน Spotlight และการพรีวิวผ่าน Quick Look เป็นต้น

Mac OS X Server Snow Leopard ระบบปฏิบัติระดับเซิร์ฟเวอร์ที่ง่ายต่อการใช้งาน พร้อมวางจำหน่ายเช่นเดียวกันในวันพุธที่ 2 กันยายน 2552 โดย Snow Leopard Server มาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจมากมาย อาทิ Podcast Producer 2 และ Mobile Access Server ด้วยราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมคือ 18,990 บาท โดยไม่จำกัดจำนวนไลเซนส์เครื่องลูกข่ายที่เชื่อมต่อใช้งานกับเซิร์ฟเวอร์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและความต้องการของระบบสำหรับ Snow Leopard Server สามารถเรียกดูได้จาก www.apple.com/server/macosx/ แอปเปิ้ล เปิดตัวระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ล่าสุด Mac OS X v10.6 Snow Leopard ที่พร้อมจำหน่ายในวันนี้ ผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการและผ่านทางร้านค้าออนไลน์ของแอปเปิ้ล โดย Snow Leopard นั้นถูกพัฒนาขึ้นบนเทคโนโลยีที่มีรากฐานที่น่าเชื่อถือนับทศวรรษอย่าง OS X และได้รับการปรับแต่งให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในหลายร้อยจุด เสริมด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด และรองรับการทำงานร่วมกับ Microsoft Exchange ได้อย่างดี โดยผู้ใช้สามารถอัพเกรดจาก Mac OS X Leopard มาเป็น Snow Leopard ได้ในราคาเพียง 1,190 บาทเท่านั้น

"Snow Leopard พัฒนาโดยต่อยอดจากระบบปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเรา และเราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถนำเสนอ Snow Leopard ให้ผู้ใช้ได้เร็วกว่ากำหนดการที่เราคาดเอาไว้" เบอร์แทรนด์ เซอร์เล็ท รองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ของแอปเปิ้ล กล่าว "ด้วยราคาในการอัพเกรดเพียง 1,190 บาท ผู้ใช้ Leopard จะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีชั้นสูงบนระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ และเป็นระบบที่รองรับการทำงานร่วมกับ Exchange ได้"

ในการพัฒนา Snow Leopard นั้น วิศวกรของแอปเปิ้ลได้ปรับปรุงส่วนต่างๆ บน Mac OS X รวมแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนโปรเจ็กต์ทั้งหมดนับพันรายการ ทำให้ผู้ใช้จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ทั้งใน Finder ที่ค้นหาได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิม โดยสามารถเปิดข้อความในเมลได้เร็วขึ้นสองเท่า* Time Machine ที่สามารถสำรองข้อมูลครั้งแรกได้เร็วขึ้นสูงสุดถึง 80 เปอร์เซ็นต์ * และให้การทำงานรูปแบบใหม่ร่วมกันระหว่าง Dock และ Expose มี QuickTime X โฉมใหม่ที่ให้ความสะดวกมากกว่าในการชม บันทึก ตัดต่อ และแชร์วิดีโอ อีกทั้งบราวเซอร์ Safari 4 เวอร์ชัน 64-บิต สามารถทำงานได้เร็วขึ้นกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ** และยังสามารถป้องกันระบบไม่ให้ได้รับผลกระทบจากปลั๊กอินที่มีปัญหา ที่สำคัญ Snow Leopard นั้นมีขนาดเพียงครึ่งเดียวของระบบปฏิบัติการเวอร์ชันก่อนหน้านี้ ช่วยประหยัดพื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ลงไปได้มากถึง 7 กิกะไบต์ในทันทีที่ติดตั้ง
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่แอพพลิเคชันระบบ ไม่ว่าจะเป็น Finder, Mail, iCal, iChat และ Safari ได้ถูกแปลงโค้ดโปรแกรมให้กลายเป็นแบบ 64-บิต และด้วยคุณสมบัติของ Snow Leopard ในการรองรับโพรเซสเซอร์แบบ 64-บิต ทำให้สามารถทำงานร่วมกับหน่วยความจำประเภทแรมที่ใหญ่ขึ้น ให้สมรรถนะที่ดีขึ้น และมีความปลอดภัยมากขึ้น ในขณะที่ยังคงรองรับแอพพลิเคชันแบบ 32-บิต ได้อย่างไม่มีปัญหา นอกจากนี้ยังมีการนำ Grand Central Dispatch (GCD) มาใช้เพื่อนำเสนอแนวทางใหม่ให้แก่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ในการเขียนแอพพลิเคชัน เพื่อดึงประโยชน์จากโพรเซสเซอร์แบบมัลติคอร์ออกมาให้ได้เต็มที่ รวมไปถึงการรองรับ OpenCL ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานเปิด ที่ทำให้นักพัฒนาโปรแกรมสามารถใช้พลังของหน่วยประมวลผลกราฟิกที่มีอยู่ได้ อย่างคุ้มค่าเพื่อรองรับการประมวลผลอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากเรื่องของกราฟิก

Snow Leopard นั้นถือเป็นระบบปฏิบัติการบนเดสก์ทอปรุ่นเดียวที่รองรับการทำงานร่วมกับ Microsoft Exchange Server 2007 และให้ความสะดวกในการใช้ Mac OS X Mail, Address Book และ iCal ในการส่งและรับอีเมล์ สร้างหรือตอบรับการเชิญประชุมผ่านระบบออนไลน์ รวมไปถึงการค้นหาและจัดการรายชื่อบนสมุดรายชื่อกลางของระบบ และด้วยความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่าง Exchange กับ Snow Leopard ทำให้ผู้ใช้ยังจะได้รับประโยชน์จากคุณสมบัติเฉพาะบน OS X ทั้งการค้นหาอย่างรวดเร็วผ่าน Spotlight และการพรีวิวผ่าน Quick Look เป็นต้น

Mac OS X Server Snow Leopard ระบบปฏิบัติระดับเซิร์ฟเวอร์ที่ง่ายต่อการใช้งาน พร้อมวางจำหน่ายเช่นเดียวกันในวันพุธที่ 2 กันยายน 2552 โดย Snow Leopard Server มาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจมากมาย อาทิ Podcast Producer 2 และ Mobile Access Server ด้วยราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมคือ 18,990 บาท โดยไม่จำกัดจำนวนไลเซนส์เครื่องลูกข่ายที่เชื่อมต่อใช้งานกับเซิร์ฟเวอร์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและความต้องการของระบบสำหรับ Snow Leopard Server สามารถเรียกดูได้จาก www.apple.com/server/macosx/ แอปเปิ้ล เปิดตัวระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ล่าสุด Mac OS X v10.6 Snow Leopard ที่พร้อมจำหน่ายในวันนี้ ผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการและผ่านทางร้านค้าออนไลน์ของแอปเปิ้ล โดย Snow Leopard นั้นถูกพัฒนาขึ้นบนเทคโนโลยีที่มีรากฐานที่น่าเชื่อถือนับทศวรรษอย่าง OS X และได้รับการปรับแต่งให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในหลายร้อยจุด เสริมด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด และรองรับการทำงานร่วมกับ Microsoft Exchange ได้อย่างดี โดยผู้ใช้สามารถอัพเกรดจาก Mac OS X Leopard มาเป็น Snow Leopard ได้ในราคาเพียง 1,190 บาทเท่านั้น

"Snow Leopard พัฒนาโดยต่อยอดจากระบบปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเรา และเราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถนำเสนอ Snow Leopard ให้ผู้ใช้ได้เร็วกว่ากำหนดการที่เราคาดเอาไว้" เบอร์แทรนด์ เซอร์เล็ท รองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ของแอปเปิ้ล กล่าว "ด้วยราคาในการอัพเกรดเพียง 1,190 บาท ผู้ใช้ Leopard จะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีชั้นสูงบนระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ และเป็นระบบที่รองรับการทำงานร่วมกับ Exchange ได้"

ในการพัฒนา Snow Leopard นั้น วิศวกรของแอปเปิ้ลได้ปรับปรุงส่วนต่างๆ บน Mac OS X รวมแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนโปรเจ็กต์ทั้งหมดนับพันรายการ ทำให้ผู้ใช้จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ทั้งใน Finder ที่ค้นหาได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิม โดยสามารถเปิดข้อความในเมลได้เร็วขึ้นสองเท่า* Time Machine ที่สามารถสำรองข้อมูลครั้งแรกได้เร็วขึ้นสูงสุดถึง 80 เปอร์เซ็นต์ * และให้การทำงานรูปแบบใหม่ร่วมกันระหว่าง Dock และ Expose มี QuickTime X โฉมใหม่ที่ให้ความสะดวกมากกว่าในการชม บันทึก ตัดต่อ และแชร์วิดีโอ อีกทั้งบราวเซอร์ Safari 4 เวอร์ชัน 64-บิต สามารถทำงานได้เร็วขึ้นกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ** และยังสามารถป้องกันระบบไม่ให้ได้รับผลกระทบจากปลั๊กอินที่มีปัญหา ที่สำคัญ Snow Leopard นั้นมีขนาดเพียงครึ่งเดียวของระบบปฏิบัติการเวอร์ชันก่อนหน้านี้ ช่วยประหยัดพื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ลงไปได้มากถึง 7 กิกะไบต์ในทันทีที่ติดตั้ง
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่แอพพลิเคชันระบบ ไม่ว่าจะเป็น Finder, Mail, iCal, iChat และ Safari ได้ถูกแปลงโค้ดโปรแกรมให้กลายเป็นแบบ 64-บิต และด้วยคุณสมบัติของ Snow Leopard ในการรองรับโพรเซสเซอร์แบบ 64-บิต ทำให้สามารถทำงานร่วมกับหน่วยความจำประเภทแรมที่ใหญ่ขึ้น ให้สมรรถนะที่ดีขึ้น และมีความปลอดภัยมากขึ้น ในขณะที่ยังคงรองรับแอพพลิเคชันแบบ 32-บิต ได้อย่างไม่มีปัญหา นอกจากนี้ยังมีการนำ Grand Central Dispatch (GCD) มาใช้เพื่อนำเสนอแนวทางใหม่ให้แก่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ในการเขียนแอพพลิเคชัน เพื่อดึงประโยชน์จากโพรเซสเซอร์แบบมัลติคอร์ออกมาให้ได้เต็มที่ รวมไปถึงการรองรับ OpenCL ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานเปิด ที่ทำให้นักพัฒนาโปรแกรมสามารถใช้พลังของหน่วยประมวลผลกราฟิกที่มีอยู่ได้ อย่างคุ้มค่าเพื่อรองรับการประมวลผลอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากเรื่องของกราฟิก

Snow Leopard นั้นถือเป็นระบบปฏิบัติการบนเดสก์ทอปรุ่นเดียวที่รองรับการทำงานร่วมกับ Microsoft Exchange Server 2007 และให้ความสะดวกในการใช้ Mac OS X Mail, Address Book และ iCal ในการส่งและรับอีเมล์ สร้างหรือตอบรับการเชิญประชุมผ่านระบบออนไลน์ รวมไปถึงการค้นหาและจัดการรายชื่อบนสมุดรายชื่อกลางของระบบ และด้วยความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่าง Exchange กับ Snow Leopard ทำให้ผู้ใช้ยังจะได้รับประโยชน์จากคุณสมบัติเฉพาะบน OS X ทั้งการค้นหาอย่างรวดเร็วผ่าน Spotlight และการพรีวิวผ่าน Quick Look เป็นต้น

Mac OS X Server Snow Leopard ระบบปฏิบัติระดับเซิร์ฟเวอร์ที่ง่ายต่อการใช้งาน พร้อมวางจำหน่ายเช่นเดียวกันในวันพุธที่ 2 กันยายน 2552 โดย Snow Leopard Server มาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจมากมาย อาทิ Podcast Producer 2 และ Mobile Access Server ด้วยราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมคือ 18,990 บาท โดยไม่จำกัดจำนวนไลเซนส์เครื่องลูกข่ายที่เชื่อมต่อใช้งานกับเซิร์ฟเวอร์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและความต้องการของระบบสำหรับ Snow Leopard Server สามารถเรียกดูได้จาก www.apple.com/server/macosx/ แอปเปิ้ล เปิดตัวระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ล่าสุด Mac OS X v10.6 Snow Leopard ที่พร้อมจำหน่ายในวันนี้ ผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการและผ่านทางร้านค้าออนไลน์ของแอปเปิ้ล โดย Snow Leopard นั้นถูกพัฒนาขึ้นบนเทคโนโลยีที่มีรากฐานที่น่าเชื่อถือนับทศวรรษอย่าง OS X และได้รับการปรับแต่งให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในหลายร้อยจุด เสริมด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด และรองรับการทำงานร่วมกับ Microsoft Exchange ได้อย่างดี โดยผู้ใช้สามารถอัพเกรดจาก Mac OS X Leopard มาเป็น Snow Leopard ได้ในราคาเพียง 1,190 บาทเท่านั้น

"Snow Leopard พัฒนาโดยต่อยอดจากระบบปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเรา และเราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถนำเสนอ Snow Leopard ให้ผู้ใช้ได้เร็วกว่ากำหนดการที่เราคาดเอาไว้" เบอร์แทรนด์ เซอร์เล็ท รองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ของแอปเปิ้ล กล่าว "ด้วยราคาในการอัพเกรดเพียง 1,190 บาท ผู้ใช้ Leopard จะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีชั้นสูงบนระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ และเป็นระบบที่รองรับการทำงานร่วมกับ Exchange ได้"

ในการพัฒนา Snow Leopard นั้น วิศวกรของแอปเปิ้ลได้ปรับปรุงส่วนต่างๆ บน Mac OS X รวมแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนโปรเจ็กต์ทั้งหมดนับพันรายการ ทำให้ผู้ใช้จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ทั้งใน Finder ที่ค้นหาได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิม โดยสามารถเปิดข้อความในเมลได้เร็วขึ้นสองเท่า* Time Machine ที่สามารถสำรองข้อมูลครั้งแรกได้เร็วขึ้นสูงสุดถึง 80 เปอร์เซ็นต์ * และให้การทำงานรูปแบบใหม่ร่วมกันระหว่าง Dock และ Expose มี QuickTime X โฉมใหม่ที่ให้ความสะดวกมากกว่าในการชม บันทึก ตัดต่อ และแชร์วิดีโอ อีกทั้งบราวเซอร์ Safari 4 เวอร์ชัน 64-บิต สามารถทำงานได้เร็วขึ้นกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ** และยังสามารถป้องกันระบบไม่ให้ได้รับผลกระทบจากปลั๊กอินที่มีปัญหา ที่สำคัญ Snow Leopard นั้นมีขนาดเพียงครึ่งเดียวของระบบปฏิบัติการเวอร์ชันก่อนหน้านี้ ช่วยประหยัดพื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ลงไปได้มากถึง 7 กิกะไบต์ในทันทีที่ติดตั้ง
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่แอพพลิเคชันระบบ ไม่ว่าจะเป็น Finder, Mail, iCal, iChat และ Safari ได้ถูกแปลงโค้ดโปรแกรมให้กลายเป็นแบบ 64-บิต และด้วยคุณสมบัติของ Snow Leopard ในการรองรับโพรเซสเซอร์แบบ 64-บิต ทำให้สามารถทำงานร่วมกับหน่วยความจำประเภทแรมที่ใหญ่ขึ้น ให้สมรรถนะที่ดีขึ้น และมีความปลอดภัยมากขึ้น ในขณะที่ยังคงรองรับแอพพลิเคชันแบบ 32-บิต ได้อย่างไม่มีปัญหา นอกจากนี้ยังมีการนำ Grand Central Dispatch (GCD) มาใช้เพื่อนำเสนอแนวทางใหม่ให้แก่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ในการเขียนแอพพลิเคชัน เพื่อดึงประโยชน์จากโพรเซสเซอร์แบบมัลติคอร์ออกมาให้ได้เต็มที่ รวมไปถึงการรองรับ OpenCL ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานเปิด ที่ทำให้นักพัฒนาโปรแกรมสามารถใช้พลังของหน่วยประมวลผลกราฟิกที่มีอยู่ได้ อย่างคุ้มค่าเพื่อรองรับการประมวลผลอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากเรื่องของกราฟิก

Snow Leopard นั้นถือเป็นระบบปฏิบัติการบนเดสก์ทอปรุ่นเดียวที่รองรับการทำงานร่วมกับ Microsoft Exchange Server 2007 และให้ความสะดวกในการใช้ Mac OS X Mail, Address Book และ iCal ในการส่งและรับอีเมล์ สร้างหรือตอบรับการเชิญประชุมผ่านระบบออนไลน์ รวมไปถึงการค้นหาและจัดการรายชื่อบนสมุดรายชื่อกลางของระบบ และด้วยความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่าง Exchange กับ Snow Leopard ทำให้ผู้ใช้ยังจะได้รับประโยชน์จากคุณสมบัติเฉพาะบน OS X ทั้งการค้นหาอย่างรวดเร็วผ่าน Spotlight และการพรีวิวผ่าน Quick Look เป็นต้น

Mac OS X Server Snow Leopard ระบบปฏิบัติระดับเซิร์ฟเวอร์ที่ง่ายต่อการใช้งาน พร้อมวางจำหน่ายเช่นเดียวกันในวันพุธที่ 2 กันยายน 2552 โดย Snow Leopard Server มาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจมากมาย อาทิ Podcast Producer 2 และ Mobile Access Server ด้วยราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมคือ 18,990 บาท โดยไม่จำกัดจำนวนไลเซนส์เครื่องลูกข่ายที่เชื่อมต่อใช้งานกับเซิร์ฟเวอร์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและความต้องการของระบบสำหรับ Snow Leopard Server สามารถเรียกดูได้จาก www.apple.com/server/macosx/





วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

Apple Tablet






ตั้งแต่มีข่าวลือเรื่อง Apple Tablet ก็มีการคาดการณ์กันไปต่างๆ นาๆ ถึงแม้จะดูไร้สาระ

แต่ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย คราวนี้ลองมาคาดคะเนกันให้ลึกลงไปอีกนิดว่าน่าจะมีอะไรใน Apple Tablet บ้าง

ปรัชญาการออกแบบ Apple Tablet นี้จะมามาจากการขยายส่วน iPhone

หรือว่าจากการย่อส่วน MacBook? ถึงแม้ว่าตัวเลือกแรกอาจดูว่ามีความเป็นไปได้มากกว่า

เนื่องจากดูเหมือนว่าจะเป็นการต่อยอดของอุปกรณ์ซอฟท์แวร์ และฮาร์ดแวร์แบบมาตรฐาน

แต่ก็อีกนั่นแหละ มันก็เป็นไปได้ทั้งสองทางเนื่องจากมีข่าวลือว่าเครื่อง Apple Tablet นี้จะเปิดตัวในปี 2010

ดังนั้นมองความเป็นไปได้จากฝั่งของอินเทลอาจคิดได้ดังนี้

สมมติฐานแรก คืออาจจะมีการใช้โปรเซสเซอร์ Atom รุ่นใหม่ที่ชื่อ “Pine Trail” ซึ่งจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

และประหยัดพลังงานมากกว่า Atom รุ่นปัจจุบัน ซึ่งก็ถือว่าประหยัดพลังงานมากที่สุดอยู่แล้ว Pine Trail

จะรวมโปรเซสเซอร์ด้านกราฟฟิกส์ไว้บนชิปตัวเดียวกับโปรเซสเซอร์หลัก

ซึ่งจะเป็นอีกปรากฏการณ์ครั้งใหม่ของอินเทล (ต่างจากโปรเซสเซอร์ในอนาคตของอินเทลที่ชื่อว่า “Arrandale”

ในตระกูล Core i ที่เป็นการรวมโปรเซสเซอร์สำหรับกราฟฟิกส์และโปรเซสเซอร์หลัก ไว้ในแพ็กเกจเดียวกัน

แต่ไม่ได้อยู่บนชิปเดียวกัน)

เทคโนโลยีการรวมโปรเซสเซอร์กราฟฟิกส์ไว้บนชิปเดียวกันของอินเทลนั้นยังไม่มีรายละเอียดมากนัก

แต่คาดว่า Apple Tablet จะมีประสิทธิภาพด้านกราฟฟิกส์ไม่น่าเกลียดทีเดียว เพราะมันมักจะเป็นข้อด้อยของ

เน็ตบุ๊กที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ แล้วถ้าไม่ใช่ชิปอินเทลล่ะ?

สมมติฐานที่สอง เป็นการใช้โปรเซสเซอร์ ARM ของแอ๊ปเปิ้ลบน iPod/iPhone ที่ขนาดใหญ่ขึ้น

นี่มีความเป็นไปได้มากกว่ารูปแบบแรก เครื่อง iPhone 3GS ในปัจจุบันใช้โปรเซสเซอร์ ARM ของซัมซุง

ซึ่งมีความเร็วแค่ 600MHz แอ๊ปเปิ้ลจะออกแบบให้สามารถใช้โปรเซสเซอร์นี้ใน Tablet ได้อย่างไรก็ยังเดาไม่ถูก

พูดได้ว่าภายในแอ๊ปเปิ้ลนั้นมีการลงทุนในการออกแบบแพลตฟอร์มของ ARM มากกว่า

การออกแบบบนแพลตฟอร์มของอินเทล เนื่องจากได้มีการซื้อตัวนักออกแบบชิปที่ชื่อ P.A. Semi

และความสำเร็จของเครื่อง iPhone และที่มองข้ามไปไม่ได้คือโปรเซสเซอร์ ARM ของ iPhone มีตราแอ๊ปเปิ้ลอยู่

การคาดการณ์ที่น่าสนใจอีกอย่าง คือโปรเซสเซอร์ที่ทำงานเร็วกว่าคล้ายๆ กับ Snapdragon 1GHz

ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์ ARM ของ Qualcomm เมื่อไม่นานมานี้ซัมซุงและ Austin (Texas-based Intrinsity)

ประกาศว่าได้ร่วมกันพัฒนาชิปที่มีความเร็ว 1GHz ที่คล้ายกับโปรเซสเซอร์ที่ใช้ใน iPhone 3GS ในปัจจุบัน

นี่เป็นโปรเซสเซอร์แบบเดียวกับที่ Qualcomm เล็งไว้ใช้กับ ‘Smartbooks’ ซึ่งอาจจะเป็นเน็ตบุ๊กหรือ Tablet ก็ได้

Imagination Technologies ในอังกฤษเป็นผู้ผลิตส่วนประมวลผลกราฟฟิกส์ PowerVR สำหรับ ARM

ในเครื่อง iPhone และแอ๊ปเปิ้ลเองก็ดูเหมือนว่ามีความสนใจใน Imagination ไม่น้อย

เห็นได้จากการลงทุนในบริษัทแห่งนี้เพิ่มขึ้นเป็น 9.5 เปอร์เซ็นต์

สุดท้าย เป็นที่น่าสนใจว่าการคาดการณ์เกี่ยวกับ “iPod” ของแอ๊ปเปิ้ลได้ไปไกลกว่าการคาดการณ์ของ

บุคคลทั่วไปเสียแล้ว ในบริษัทหรือองค์กรขนาดใหญ่อย่าง Borders เองก็มีการคาดการณ์เกี่ยวกับ “iPod” เช่นกัน

หรือพวกเขารู้อะไรที่พวกเราไม่รู้?

ข้อมูลจาก: http://news.cnet.com/8301-13924_3-10310594-64.html



iWork VS Microsoft Office for Mac


เท่าที่อ่านความเห็นจาก Webboard MacRumors ส่วนใหญ่ก็ชอบ iWork นะครับ

แล้วก็ไม่คิดจะใช้ Office for Mac กันคิดว่าแอปเปิลเองก็น่าจะอยากได้ฐานผู้ใช้เพิ่มขึ้นมากๆ

เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ของ iWork อาจจะมี แต่เทียบกับโอกาสของตลาดในอนาคตแล้วก็น่าสนใจ

ยิ่งเปิดตัว iWork.com ก็ยิ่งน่าจะช่วยขยายฐานผู้ใช้ได้

แต่ผมว่ามันแล้วแต่คนไหมครับ ถ้าเป็นสาวก Mac คงใช้ iWork และไม่ไปใช้ Office for Mac หรอก

ส่วนตัวผมเองไม่ใช้ทั้งสองอันล่ะ เพราะมันยังเทียบกับ Office บน PC ไม่ได้เลย แต่ชอบ Number บน iWork '09

นะ ดูเป็น Application ที่ใช้งานจริงๆจังได้หน่อย แต่เทียบกับ Excel แล้วเหมือนเด็กกับผู้ใหญ่แต่ iWork สวยกว่า ฮ่าๆๆ

ราคา Microsoft Office for Mac นั้นมีราคาแพง (ถ้าเทียบกับ iWork) หรือแม้กระทั่งเปรียบเทียบราคากับ

Microsoft Office 2007 ก็ยังแพงอยู่ดี ทั้ง ๆ ที่ Application ใน MS Office for Mac มีแค่ ไม่กี่ตัว

(Word, Excel, PowerPoint, Entourage, Messenger(อันนี้ฟรีอยู่แล้ว)) แต่ราคานี่ก็ ... นะ ...ต่างกันครึ่งหนึ่งเลย ...

{ราคา iWork '09 - 3,190 บาท Office 2008 for Mac - 7,500 บาท}

ผมว่าดีสำหรับ Apple เพราะอย่างไร iWork ก็ไม่ได้เป็นมาตรฐานของไฟล์เอกสารอยู่แล้ว


(ถึงจะรองรับ MS office file ก็เถอะ) สิ่งที่แอปเปิ้ลต้องการน่าจะเป็นการสร้างฐานลูกค้า

เพื่อแย่งตลาดจาก Office for Mac มากกว่า แล้วอีกอย่าง iWork เองก็ไม่น่าจะมีผลต่อผลประกอบการของแอปเปิ้ลมากเท่าไหร่

เพราะยังไงๆก็ทำเงินจากการขายฮาร์ดแวร์เป็นหลักอยู่แล้ว


ปล:ที่มา http://www.blognone.com/node/10441



วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

สงสัย iPhoto นิดหน่อย





สงสัยนิดหน่อยว่าทําไมก่อนผมจะลง Snow Leopard
เนี่ย iPhoto มันอืดมากเลย แล้วก็ชอบแฮงค์ Report to Apple
หลายรอบเหลือเกิน มันแฮงค์บ่อยแถม Error บ่อยมากๆ
เลยอยากถามผู้รู้มากครับ

ปล: MacBook ผมก็เพิ่งซื้อ-ไม่ได้เก่านะ :-(








วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

iTune U คืออะไร ใครช่วยบอกที


iTunes U คืออะไร ใครช่วยบอกที
พอผมโหลด iTunes 9 ปุ๊บ ก็มีปั๊บ
มันคืออะไรหรอ ช่วยบอกที

ปล:ดูที่ความคิดเห็นเอานะ


สอนหน่อย Share MacกับMacยังไง


อย่างที่บทความที่แล้วกล่าว..ผมไม่ได้เก่งMacถึงขั้นเทพ
แต่ก็เล่นเป็น (ตอนนี้ยังงงกับ Snow Leopard อยู่เลย)
แต่ตอนนี้ผมกําลังง....งง ว่าในเมนู Finder อ่ะ
ใน Slide Bar มันมี Shared ขึ้นมา ผมก็ไปดู สรุปว่า
มัน Share กับ Mac ข้างบ้านอยุ(ก็เหนมีชื่อMacข้องบ้าน)
เลยอยากรุว่าจา Share กับ Mac ในบ้านยังไง

ฝากถามผู้รู้ด้วยนะคร้าบ~

My new iMac

วันพุธแนวๆวันหนึ่ง
เด็กชาย Artnoi กลับบ้านอย่างละเหี่ยใจ
เนื่องด้วยจบการสอบที่ รร. บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ของเด็กชาย Artnoi
สัญญากับพ่อไว้ว่า"ท่านพ่อขอรับ กระผมสอบเสร็จแล้ว ขอ iMac ได้ไหมขอรับ"
พ่อรีบทุบโต๊ะแล้วตะโกนอย่างเด็กแนวว่า "บังอาจ! สอบคราวที่แล้วได้แค่ 81%"
"แล้วยังมีหน้าจะมาขออิกเรอะ" เด็กชาย Artnoi ก็ตอบไปว่า "เออ"
"สามหาวว"พ่อพูดขึ้นและ................

ที่เล่ามาโกหกหมดเลย เรื่องจริงก็คือพ่อเขาเบื่อ Windows OS
เลยไปซื้อ iMac มาแล้วก็ไม่แกะกล่องจนกว่าผมจะสอบเส็ด
แต่ตอนนี้สอบเส็ดแล้วผมก็เลยง่วนกับการ Set Up ให้พ่ออยู่ครับ
(พ่อใช้ Mac ไม่เป็น)

ปล:ปิดเทอมแล้วว้อย

ก๊าก555 Blogใหม่มาแล้ว

นี่คือBlogที่จะมาแทน bodin43.blogspot.com
ไงน้อง โดยจามุ่งเน้นไปที่ Apple+Mac เหมียนเดิม
แล้วก็จามาเขียนบทความสไตล์ Artnoi เหมือนเดิม